ตอนวัยรุ่น คือ ไม่อยากอยู่บ้าน
เรียนจบตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ทันที
...แต่ในวันที่ตัดสินใจกลับบ้าน...
กลับมองเห็นความงดงามของบ้านเกิดในแบบที่ไม่เคยเห็น
จากที่ไม่เคยสนใจ คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง”
สุดท้ายคำนี้ คือ แก่นแท้ของการดำเนินชีวิต
เส้นทางชีวิตของ “ดา-จินดา ปัญญา” หญิงสาวจากบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน ไม่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ชีวิตวัยรุ่นต้องการความท้าทาย อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต และไม่อยากอยู่บ้านเกิด ไม่อยากทำไร่ทำสวน เรียนจบปริญญาตรีจึงตัดสินใจเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯทันที แต่ที่แตกต่าง คือ “ดา” เป็นคนใฝ่รู้ และมองเห็นโอกาส
“โลกโซเชียล” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเรียนรู้และทำได้ หญิงสาวจากบ้านยอดที่กระโดดร่วมขบวนโลกยุคใหม่ได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ จึงเป็นเหมือนที่ปรึกษาของคนใกล้ตัวที่ยังติดขัดเรื่องการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนมือถือ และด้วยความคิดว่า ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับคนหลาย ๆ คน แทนที่จะอธิบายซ้ำ ๆ “ดา” จึงเปิดช่องยูทูบเพื่อสอนการใช้งานใครติดขัดตรงไหนก็เข้าไปดูได้ จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น “ดา” กลายเป็นยูทูบเบอร์ที่สร้างรายได้จากช่องทางนี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่การเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ภาพไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด การเข้างาน 08.00 น. เลิกงาน 17.00 น. ทำให้ “ดา” รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ อีกทั้งพ่อแม่ก็เริ่มแก่ไม่มีคนดูแล การมีรายได้จากช่องยูทูบทำให้เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านได้อย่างไม่ลังเล
จากเด็กสาวที่ออกจากบ้านเกิดไปตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่ในวันที่กลับบ้าน “ดา” กลับมองเห็นความงดงาม มองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเกิดอย่างที่สายตาของเด็กวัยรุ่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนไม่เคยมองเห็น สินค้าเกษตรที่มีอัตลักษณ์ และมีอย่างอุดมสมบูรณ์ของบ้านยอด สะกิดให้ยูทูบเบอร์สาวตัดสินใจเปิดช่องยูทูบ “สวยเกษตร น่านงัย” เพื่อพาเพื่อน ๆ ชาวโซเชียลชมความงดงามของบ้านยอด และเป็นช่องทางขายสินค้าเกษตรให้กับชาวบ้านยอดได้เป็นอย่างดีอีกช่องทางหนึ่ง
และด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อม “บ้านยอด” หมู่บ้านที่อยู่ติดกับประเทศลาวเพียงแต่แค่มีภูเขากั้น เข้ากับโลกโซเชียลได้อย่างกลมกลืน และยังมีทักษะความสามารถจากการเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ทำให้ชาวบ้านยอดสนับสนุนให้เขาเข้ามามีส่วนในการพัฒนาหมู่บ้าน ระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีที่กลับบ้าน “ดา” ได้รับเลือกให้เป็นประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกมะนาวบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน
จากที่กังวลว่ากลับบ้านแล้วจะทำอะไร วันนี้ “ดา-จินดา ปัญญา” มีส่วนในการขับเคลื่อนชุมชน และยังเป็นยูทูบเบอร์ที่ขายสินค้าเกษตรขึ้นชื่อของบ้านยอดอย่าง มะนาวตาฮิติ, มะแขว่นหอม, อะโวคาโด, ลิ้นจี่, หวาย ฯลฯ จากมือเกษตรกรถึงมือผู้บริโภคโดยตรง และที่สำคัญคือได้ทำหน้าที่ลูกดูแลพ่อแม่ได้อย่างที่เธอหวังไว้
“ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยรู้จักหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเลย เพราะชีวิตต้องดิ้นรนตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้วันที่ได้กลับมาอยู่บ้าน คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญมากที่สุด เพราะคือแก่นแท้ของการดำเนินชีวิต ที่ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริง”
จินดา ปัญญา ชาวบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน
ตอนวัยรุ่น คือ ไม่อยากอยู่บ้าน
เรียนจบตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ทันที
...แต่ในวันที่ตัดสินใจกลับบ้าน...
กลับมองเห็นความงดงามของบ้านเกิดในแบบที่ไม่เคยเห็น
จากที่ไม่เคยสนใจ คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง”
สุดท้ายคำนี้ คือ แก่นแท้ของการดำเนินชีวิต
เส้นทางชีวิตของ “ดา-จินดา ปัญญา” หญิงสาวจากบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน ไม่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ชีวิตวัยรุ่นต้องการความท้าทาย อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต และไม่อยากอยู่บ้านเกิด ไม่อยากทำไร่ทำสวน เรียนจบปริญญาตรีจึงตัดสินใจเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯทันที แต่ที่แตกต่าง คือ “ดา” เป็นคนใฝ่รู้ และมองเห็นโอกาส
“โลกโซเชียล” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเรียนรู้และทำได้ หญิงสาวจากบ้านยอดที่กระโดดร่วมขบวนโลกยุคใหม่ได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ จึงเป็นเหมือนที่ปรึกษาของคนใกล้ตัวที่ยังติดขัดเรื่องการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนมือถือ และด้วยความคิดว่า ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับคนหลาย ๆ คน แทนที่จะอธิบายซ้ำ ๆ “ดา” จึงเปิดช่องยูทูบเพื่อสอนการใช้งานใครติดขัดตรงไหนก็เข้าไปดูได้ จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น “ดา” กลายเป็นยูทูบเบอร์ที่สร้างรายได้จากช่องทางนี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่การเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ภาพไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด การเข้างาน 08.00 น. เลิกงาน 17.00 น. ทำให้ “ดา” รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ อีกทั้งพ่อแม่ก็เริ่มแก่ไม่มีคนดูแล การมีรายได้จากช่องยูทูบทำให้เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านได้อย่างไม่ลังเล
จากเด็กสาวที่ออกจากบ้านเกิดไปตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่ในวันที่กลับบ้าน “ดา” กลับมองเห็นความงดงาม มองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเกิดอย่างที่สายตาของเด็กวัยรุ่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนไม่เคยมองเห็น สินค้าเกษตรที่มีอัตลักษณ์ และมีอย่างอุดมสมบูรณ์ของบ้านยอด สะกิดให้ยูทูบเบอร์สาวตัดสินใจเปิดช่องยูทูบ “สวยเกษตร น่านงัย” เพื่อพาเพื่อน ๆ ชาวโซเชียลชมความงดงามของบ้านยอด และเป็นช่องทางขายสินค้าเกษตรให้กับชาวบ้านยอดได้เป็นอย่างดีอีกช่องทางหนึ่ง
และด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อม “บ้านยอด” หมู่บ้านที่อยู่ติดกับประเทศลาวเพียงแต่แค่มีภูเขากั้น เข้ากับโลกโซเชียลได้อย่างกลมกลืน และยังมีทักษะความสามารถจากการเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ทำให้ชาวบ้านยอดสนับสนุนให้เขาเข้ามามีส่วนในการพัฒนาหมู่บ้าน ระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีที่กลับบ้าน “ดา” ได้รับเลือกให้เป็นประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกมะนาวบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน
จากที่กังวลว่ากลับบ้านแล้วจะทำอะไร วันนี้ “ดา-จินดา ปัญญา” มีส่วนในการขับเคลื่อนชุมชน และยังเป็นยูทูบเบอร์ที่ขายสินค้าเกษตรขึ้นชื่อของบ้านยอดอย่าง มะนาวตาฮิติ, มะแขว่นหอม, อะโวคาโด, ลิ้นจี่, หวาย ฯลฯ จากมือเกษตรกรถึงมือผู้บริโภคโดยตรง และที่สำคัญคือได้ทำหน้าที่ลูกดูแลพ่อแม่ได้อย่างที่เธอหวังไว้
“ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยรู้จักหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเลย เพราะชีวิตต้องดิ้นรนตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้วันที่ได้กลับมาอยู่บ้าน คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญมากที่สุด เพราะคือแก่นแท้ของการดำเนินชีวิต ที่ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริง”
จินดา ปัญญา ชาวบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน
เมื่อก่อนความเป็นอยู่ของคนที่นี่ไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำ
แต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นว่าชาวบ้านมีอาชีพ มีน้ำใช้ ภูมิใจครับ”
“จอวะ แครจี” ชาวปกาเกอะญอที่เกิดและเติบโตที่บ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี บอกเล่าถึงอดีตที่แสนยากลำบากที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอย ต้องเผชิญ คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีอาชีพ แม้กระทั่งอาชีพเกษตรกร เพราะแม้จะมีที่ดินแต่ก็ไม่มีต้นทุนพอที่จะนำน้ำจากต้นน้ำเพชรที่อยู่ต่ำกว่าพื้นที่การเกษตรขึ้นมาใช้ได้
“จอวะ” เป็นหนึ่งในชาวปกาเกอะญอ ที่พยายามดิ้นรนออกมาอาชีพข้างนอก แต่สุดท้ายก็พบว่า บ้านโป่งลึก-บางกลอย คือ บ้านของพวกเขา พื้นที่ที่จะทำให้เขาพบความสุขที่ยั่งยืนมากที่สุดแม้ว่าในตอนนั้นยังไม่รู้ว่ากลับบ้านแล้วจะทำอะไรก็ตาม
จนกระทั่ง “ความหวัง” ที่จะทำให้ชาวปกาเกอะญอบ้านโป่งลึก-บางกลอย ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเองอย่างมีความสุขก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้เข้ามาทำโครงการในพื้นที่ โดยจะเข้ามาพัฒนาเรื่องของอาชีพ แก้ปัญหาเรื่องน้ำ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนที่นี่ให้ดีขึ้น ทุกบ้านต้องมีกิน ซึ่งตรงกับความคิดของเด็กหนุ่มในวัย 22 ปีในวันนั้นทำให้ “จอวะ แครจี” ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการในฐานะอาสาพัฒนา โดยมุ่งหวังที่จะทำให้บ้านเกิดของเขาดีขึ้น
เด็กหนุ่มปกาเกอะญอ 1 ใน 5 คน ตัวแทนชาวบ้านจากบ้านโป่งลึก-บางกลอย ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญด้วยการไปเรียนเรื่องไมโครกริด ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเจ้าเกล้าธนบุรี เพื่อที่จะกลับมาพัฒนาระบบโซลาเซลล์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อที่จะทำให้การสูบน้ำด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงวันนี้ “จอวะ” บอกว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีน้ำใช้ทำการเกษตรได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากพื้นที่ที่เคยรกร้างทุกวันนี้กลายเป็นสวนทุเรียน และสวนกล้วย และจากที่ไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำ ทุกวันนี้กลายเป็นว่าทุกคนมี ทำให้เขารู้สึกภูมิใจมากๆที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวปกาเกอะญอของเขา
“ผมเห็นความยั่งยืนในพื้นที่ว่าจะมีมากกว่านี้อีกเยอะ บ้านโป่งลึก-บางกลอย ยังไปได้อีกไกล
ผมอยากจะทำให้ดีกว่านี้” จอวะ แครจี อยากจะทำให้ดีกว่านี้”
จอวะ แครจี
อสพ.มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
เกษตรกรบ้านส้อ หมู่ 9 ต.เปือ อ.เชียงกลาง จ.น่าน "ปลูกฟักทองขายเมล็ดพันธุ์" สร้างรายได้ 30,000 - 40,000 บาท/รอบ
เมื่อปี พ.ศ. 2563 มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินโครงการปรับปรุงลำเหมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งน้ำ (อ่างเก็บน้ำส้อ) ที่ บ้านส้อ หมู่ 9 ต.เปือ อ.เชียงกลาง จ.น่าน ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤตด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ
หลังจากชาวบ้านมีน้ำใช้ทำการเกษตรได้ต่อยอดอาชีพหลังฤดูทำนา รวมกลุ่มปลูกฟักทองขายเมล็ดพันธุ์ ใน 1 ปี ทำการเกษตรได้ 3 รอบ สร้างรายได้ 30,000 - 40,000 บาท/รอบ
จุดเริ่มต้นของไอเดียและเทคนิคการปลูกฟักทองเพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ของชาวบ้านบ้านส้อจะเป็นอย่างไร? ติดตามรับชมกันได้เลย...
สามารถขอคำแนะนำและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มเมล็ดพันธุ์บ้านส้อ-บ้านเด่นพัฒนา โทร. 098-714-4012
"ดูแลป่า...เราก็มีน้ำ มีน้ำ...เราก็ทำเกษตรได้หลากหลายตลอดทั้งปี"
เมื่อปี พ.ศ. 2563 มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินโครงการปรับปรุงลำเหมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งน้ำ (อ่างเก็บน้ำส้อ) ที่ บ้านส้อ หมู่ 9 ต.เปือ อ.เชียงกลาง จ.น่าน ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤตด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ
ซึ่งหลังจากได้ร่วมแรง ร่วมใจ ดำเนินการปรับปรุงลำเหมือง (อ่างเก็บน้ำส้อ) แล้วเสร็จ ชาวบ้านมีน้ำใช้เพื่อทำการเกษตรอย่างไม่ขาดแคลน ใน 1 ปี สามารถทำการเกษตรได้ 3 รอบ พร้อมต่อยอดอาชีพหลังฤดูทำนา รวมกลุ่มปลูกพืชขายเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ สร้างรายได้ 30,000 - 40,000 บาท/รอบ
กระบวนการดำเนินโครงการปรับปรุงลำเหมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งน้ำ (อ่างเก็บน้ำส้อ) จะเป็นอย่างไร? ติดตามรับชมกันได้เลย
เกษตรกรบ้านม่วงนาดีปลื้ม หลังซ่อมแซมฝายและระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์ รวมกลุ่มทำเกษตรผสมผสานและปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้
เมื่อปี พ.ศ. 2563 มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำชุมชนขนาดเล็ก ในรูปแบบซ่อมแซมฝายและติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์ พร้อมต่อยอดอาชีพเกษตรหลังมีน้ำ ที่ บ้านม่วงนาดี ต.โนนนาจาน อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤตด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ
ซึ่งหลังจากได้ร่วมแรง ร่วมใจ ดำเนินการซ่อมแซมฝายและติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์แล้วเสร็จ ชาวบ้านมีน้ำใช้เพื่อทำการเกษตรอย่างไม่ขาดแคลน ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันทำเกษตรผสมผสานและปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้ สามารถพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือนและชุมชน
กระบวนการดำเนินงานซ่อมแซมฝายและติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์ ที่ บ้านม่วงนาดี ต.โนนนาจาน อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ จะเป็นอย่างไร? ติดตามรับชมกันได้เลยครับ
ไอเดียเกษตรต่อยอดอาชีพหลังมีน้ำ ประสบการณ์จากผู้ลงมือปฏิบัติจริง การทำเกษตรแม่นยำ ปลูกผักในโรงเรือนระบบน้ำหยด วางแผนผลิตจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
เช้านี้ พี่สุภาวดี ปั้นสง่า เกษตรกรกลุ่มปลูกผักโรงเรือน บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พาไปดูวิธีการทำเกษตรแม่นยำ โดยการปลูกผักยกพื้นในโรงเรือน ด้วยระบบ "น้ำหยด" ประหยัดน้ำ ประหยัดปุ๋ย และสามารถวางแผนการปลูกและจำหน่าย สร้างรายได้ตลอดทั้งปี
สำหรับโครงการปลูกผักในโรงเรือนบ้านโคกล่าม-แสงอร่าม เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ส่งเสริมให้เกษตรกรต้นแบบ 19 ราย 20 โรงเรือน ขนาด 6 × 24 × 3.5 เมตร ยกแคร่ปลูกผัก 160 โต๊ะ โดย 1 โรงเรือน มีโต๊ะปลูกผักจำนวน 8 โต๊ะ แต่ละโต๊ะขนาดกว้าง 1 × 10 เมตร รวม 80 ตารางเมตร และใน 1 ปีสามารถปลูกได้ถึง 8 ครั้ง ส่วนน้ำที่ใช้ในการรดผักเป็นแบบน้ำหยด ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อบาดาลที่เกษตรกรมีอยู่แล้ว สูบโดยเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นถังพักน้ำและกระจายน้ำสู่โต๊ะปลูกผัก ซึ่งระบบน้ำหยดจะใช้น้ำน้อยกว่าสปริงเกอร์ 18 เท่า ใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว 112 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ เรียนรู้การทำเกษตรน้ำน้อย ประณีตตามหลักวิชาการ ปลูกพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิดที่ตลาดมีความต้องการ อาทิ เคล ต้นหอม ผักชี คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง โดยเชื่อมโยงกับตลาด Modern trade และตลาดท้องถิ่น
เริ่มต้นโครงการโดยกระบวนการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยยึดความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่เป็นหลัก เสริมด้วยความรู้ตามหลักวิชาการการทำเกษตรปลอดภัยใช้น้ำน้อย ผสมผสานกับความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของเกษตรกร ยกแคร่ปลูกผักที่เน้นความประณีตแม่นยำ เพื่อร่วมกันวางแผนการปลูกพืชผักที่เกษตรกรมีความคุ้นเคยก่อน โดยคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ ระบบน้ำหยด การผสมวัสดุปลูกเพื่อปรับสภาพสารอาหารในดิน การควบคุมอุณหภูมิและแสงให้มีความเหมาะสมกับพืชผักแต่ละชนิด เพื่อให้เกษตรกรมีทักษะและความชำนาญในการทำเกษตรแม่นยำใช้น้ำน้อย มีความปราณีตในรายละเอียดทุกขั้นตอนตามที่มาตรฐานกำหนด รวมถึงการให้ความรู้ด้านการรวมกลุ่ม การบริหารจัดการโรงเรือนปลูกผัก โรงคัดแยกบรรจุ การวางแผนผลิต การขาย การสร้างรายได้ และการบริหารจัดการเงิน ให้แก่กลุ่มเกษตรกร
ท่านที่สนใจหากต้องการขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำ ด้านการพัฒนาเชิงพื้นที่และการเกษตร หรือลงพื้นที่ศึกษาดูงาน สามารถติดต่อขอข้อมูลได้ที่ฝ่ายส่งเสริมการพัฒนา มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ โทร. 02-611-5000 ในวันและเวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.30 น.
“เราไม่ได้เก่งคนเดียว เราต้องพึ่งหน่วยงานที่เขาเชี่ยวชาญ เราได้ เขาได้ สุดท้าย...ชาวบ้านได้ประโยชน์”
การบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่ คือ หัวใจสำคัญของ “โครงการพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ ตามพระราชดำริ (พชร.) บ้านแม่ก๋อน ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พื้นที่ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมาร์ มีปัญหาหลากหลายมิติ และมีชาวบ้านหลากหลายชาติพันธุ์
แต่ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหา การสำรวจข้อมูลเพื่อรู้จักชาวบ้าน รู้จักพื้นที่ และรู้ถึงปัญหา คือ จุดเริ่มต้นของการพัฒนา “แผนที่เดินดิน” คือ การสำรวจข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ใช้วิธีการเดินเข้าไปคุยกับชาวบ้านทุกหลังคา เดินเข้าไปทุกวัด เดินเข้าไปทุกโรงเรียน
“แม้ใครจะมองว่าเชย แต่เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่จะเข้าถึงชาวบ้าน และเข้าใจถึงปัญหาของชาวบ้านได้อย่างถ่องแท้มากที่สุด” รักษิณา ไกรดำ หัวหน้าโครงการพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ ตามพระราชดำริ บ้านแม่ก๋อน ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เชื่อเช่นนั้น
ข้อมูลที่ได้มาด้วยความเข้าถึง ทำให้พบว่า บ้านแม่ก๋อน แม้จะเป็นหมู่บ้านต้นน้ำ แต่ทว่าชาวบ้านกลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้ง ไม่มีน้ำทำการเกษตรได้เลย ดังนั้นการแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนที่ตรงใจชาวบ้านมากที่สุด คือ เรื่องน้ำ
แม้บ้านแม่ก๋อนจะมีชาวบ้านหลากหลายชนเผ่า แต่ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจ คือ จุดเด่นของชาวบ้านที่นี่ ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ทั้งในเรื่ององค์ความรู้ และเรื่องวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างฝาย สร้างบ่อพวงสันเขา และสร้างระบบน้ำ ชาวบ้านจึงพร้อมใจลงแรงร่วมทำเต็มที่ ระยะเวลาเพียงไม่นาน “น้ำ” ที่เคยขาดแคลน ก็กลับมาหล่อเลี้ยงได้ทั้ง 7 หย่อมบ้าน สร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับชาวบ้านได้อย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นการพัฒนาต่อจากนี้ชาวบ้านแม่ก๋อนจึงพร้อมใจเปิดรับเต็มที่
“เราไม่ได้เก่งคนเดียว เราต้องพึ่งหน่วยงานที่เขาเชี่ยวชาญ” หัวใจสำคัญของการพัฒนาในรูปแบบของ พชร. จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงห้วยเป้า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำนักงานปศุสัตว์ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ สำนักงานพัฒนาชุมชน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และเทศบาลตำบลทุ่งข้าวพวง เพื่อนำองค์ความรู้มาแก้ปัญหา และเกิดการพัฒนา จนเกิดการรวมกลุ่มสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านแม่ก๋อนได้ถึง 5 กลุ่ม คือ กลุ่มกล้วยฉาบ (วิสาหกิจชุมชน) กลุ่มผักในโรงเรือน กลุ่มปศุสัตว์ (หมู/ไก่พันธุ์ไข่) กลุ่มประมง และกลุ่มสมุนไพร ซึ่งผลจากการบูรณาการองค์ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ ทำให้ทุกกลุ่มเข้มแข็ง ชาวบ้านได้รับองค์รวมรู้ที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้ด้วยตัวเอง
โครงการพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ ตามพระราชดำริ (พชร.) บ้านแม่ก๋อน ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ “สุดท้าย...ชาวบ้านได้ประโยชน์” อย่างแท้จริง
ครัวเรือนพึ่งตนเองได้ ชุมชนรวมกลุ่มพึ่งตนเองได้ เชื่อมโยงออกสู่ภายนอก
“ทฤษฎีใหม่” 3 ขั้นสู่ความยั่งยืน คือ แนวทางที่มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ยึดมั่นในการเข้าไปแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่บ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน
เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่า ชุมชนมีปัญหาเรื่องน้ำ และชาวบ้านพร้อมใจที่จะร่วมกันแก้ปัญหาเมื่อมี “น้ำ” หน่วยที่เล็กที่สุดของชุมชน คือ ครัวเรือน เมื่อครัวเรือนสามารถเพาะปลูก มีอาชีพสร้างรายได้ และมีพอเก็บ นั่นคือความเข็มแข็งขั้นที่ 1 ที่สามารถพัฒนาต่อสู่ความเข้มแข็งของชุมชน
จากที่เคยปลูกมะนาวต่างคนต่างขาย ผลผลิตมีไม่ต่อเนื่อง มีขายแค่บางฤดูกาลทำให้ไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ ชาวบ้านจึงเกิดการรวมกลุ่มก่อตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกมะนาวบ้านยอด” กลุ่มที่สามารถการันตีทั้งราคาให้กับเกษตรกรชาวบ้านยอด และการันตีคุณภาพและปริมาณผลผลิตให้กับพ่อค้าที่จะเข้ามารับซื้อ เป็นความเข้มแข็งขั้นที่ 2 ที่ชุมชนรวมกลุ่มพึ่งพาตัวเองได้
เมื่อชุมชนเข้มแข็ง วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกมะนาวบ้านยอดเข้มแข็ง “มะนาวบ้านยอด” กลายเป็นที่ต้องการของตลาด ส่งทั้งผู้ค้ารายใหญ่และมีทั้งผู้ค้ารายย่อยเข้ามารับถึงในชุมชน สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังมีหน่วยงานจากภายนอกที่เข้าสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และงบประมาณ เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพผลผลิตและคุณภาพชีวิตของชาวบ้านยอดให้ดีมากยิ่งขึ้น เป็นความเข้มแข็งขั้นที่ 3 ที่พาชาวบ้านยอด อ.สองแคว จ.น่าน ก้าวเข้าสู่ความยั่งยืน
พัฒนาความร่วมมือ ก้าวสู่ความสำเร็จ
เกษตรกรบ้านผือยิ้มได้ หลังพัฒนาระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ รวมกลุ่มปลูกผักทำเกษตรผสมผสาน ต่อยอดอาชีพหลังมีน้ำ สร้างรายได้ตลอดปี
นายธงชัย ใจกว้าง ประธานโครงการพัฒนาระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์บ้านผือ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เล่าว่า เดิมทีพื้นที่ท้ายน้ำหมู่บ้าน ขนาด 4 ไร่ 2 งาน ให้ชาวบ้านมาปลูกข้าว ทำสวน ปลูกผักขายเลี้ยงครอบครัว แต่ด้วยหมู่บ้านยังขาดความพร้อมด้านระบบส่งน้ำ ชาวบ้านยังยากลำบากต้องเดินทางไปตักน้ำและใช้บัวรดน้ำในการรดผัก ทำให้ชาวบ้านไม่ได้รับประโยชน์จากแหล่งน้ำอย่างที่ควร
กระทั่งปี พ.ศ. 2564 มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับ หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ที่ผ่านการประชาคมหมู่บ้านทั้ง 3 หมู่ มีความเห็นตรงกันในการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ในรูปแบบการติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์ และถังเก็บน้ำบนหอสูง พร้อมต่อยอดอาชีพเกษตรหลังมีน้ำ ที่บ้านผือ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤตด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ
ระยะเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากชาวบ้านได้ร่วมแรง ร่วมใจ ดำเนินการติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์และสร้างถังเก็บน้ำบนหอสูงแล้วเสร็จ ชาวบ้านมีน้ำใช้เพื่อทำการเกษตรอย่างไม่ขาดแคลน ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันทำเกษตรผสมผสานและปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้ สามารถพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือนและชุมชน
กระบวนการดำเนินงานติดตั้งระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์ ที่ บ้านผือ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น จะเป็นอย่างไร? ติดตามรับชมกันได้เลยครับ
ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยได้กินอิ่ม
น้ำมีแต่ไม่ได้ใช้ได้แต่ยืนมองเหมือน “หมาดูปลากระป๋อง”
แต่วันนี้ผมมีน้ำใช้แล้ว...อายุ 50 ผมเพิ่งจะได้กินอิ่ม
วันนี้เลยแบ่งปันทั้งพื้นที่ทำกิน แบ่งปันทั้งความรู้
เพราะอยากให้คนอื่นได้กินอิ่มเหมือนเรา
ลุงบุญมาก สิงห์คำป้อม เกษตรกรบ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ต้องต่อสู้กับความแห้งแล้งมาตั้งแต่จำความได้ แม้พื้นที่ทำกินจะอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่ไม่สามารถนำน้ำมาใช้ได้ ลุงบุญมาก เปรียบตัวเองว่า ช่วงนั้นเหมือน “หมาดูปลากระป๋อง” เห็นน้ำอยู่ตรงหน้าแต่เอามาใช้ไม่ได้ บางปีทำนา 20 ไร่ ได้ข้าวแค่ 3 กระสอบ ไม่พอกินต้องออกไปรับจ้างได้วันละ 8-15 บาท ก็ต้องทำ...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้กินอิ่มเลยแม้แต่มื้อเดียว
จนกระทั่งปี 2554 มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้เข้าไปพัฒนาพื้นที่บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ด้วยความเป็นเกษตรกรนักสู้ ลุงบุญมาก เข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิปิดทองฯ เป็นคนแรก ๆ เริ่มตั้งแต่การขุดวางท่อนำน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ เข้าสู่พื้นที่แปลงนาของเกษตรกร...และนั่นคือ ครั้งแรกที่น้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ ไหลเข้าสู่พื้นที่นาของลุงบุญมาก
เมื่อมีน้ำก็ทำได้ทุกอย่าง... “พอมีน้ำผมสู้ทุกอย่าง” ลุงบุญมาก ทำทุกอย่างที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ นำองค์ความรู้เข้าไปให้ เพียงแค่ 3 ปี ลุงบุญมาก ทำทั้งนาข้าวและปลูกพืชหลังนาที่เพิ่งมีโอกาสได้ทำเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีน้ำ สามารถปลดหนี้ทั้งในและนอกระบบได้ทั้งหมดด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ลุงบุญมาก บอกเคล็ดลับปลดหนี้สั้น ๆ ว่า ต้องขยันและอดออม
เมื่อพอมี พออิ่ม ลุงบุญมาก จึงแบ่งปัน ทั้งการสละพื้นที่นาให้เป็นถนนสาธารณะ ให้ทางราชการใช้พื้นที่ทำแปลงสาธิต เพราะต้องการให้ชาวบ้านโคกล่าม-แสงอร่าม และชาวบ้านพื้นที่อื่น ๆ มาศึกษาดูงาน นอกจากนั้นยังแบ่งปันพื้นที่ให้คนที่ไม่มีที่ทำกินมาทำ โดยไม่คิดค่าเช่า และยังแบ่งปันความรู้ ใครทำไม่เป็นก็พาเขาทำจนเป็นให้ได้ ลุงบุญมาก บอกว่า ความรู้คือสิ่งที่สำคัญ อยากให้ชาวบ้านมีความรู้จะได้มีอาชีพ
วันนี้ ลุงบุญมาก สิงห์คำป้อง ยังคงสู้ต่อไป สู้ในพื้นที่นาที่อุดมไปด้วยน้ำที่สามารถทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ ปลูกได้ทุกอย่างที่อย่างปลูก ขณะเดียวกัน เมื่อมีแล้วก็แบ่งปัน...แบ่งปันทั้งที่ทำกิน แบ่งปันทั้งความรู้ ลุงบุญมาก บอกทิ้งท้ายว่า “วันนี้ผมได้กินอิ่มแล้ว อยากให้คนอื่นได้กินอิ่มเหมือนเรา”
“กล้าเปลี่ยนจากพืชเชิงเดียวมาทำเกษตรผสมผสาน เพราะเห็นว่า เราได้ทำ เราได้ใช้ เราได้กิน แต่ที่สำคัญที่สุดเราต้องขยัน ถ้าไม่ขยันก็ไม่ได้กินเหมือนกัน”
จากที่เคยทำพืชเชิงเดี่ยว เมื่อถึงวันที่ต้องเปลี่ยนแปลงหลายคนเลือกที่จะไม่เปลี่ยน เพราะคุ้นชินกับการทำการเกษตรในรูปแบบเดิม แม้ว่าจะได้เงินก้อน แต่เมื่อหักลบกลบหนี้แล้วแทบจะไม่เหลือเงินเลยก็ตาม แต่สำหรับ “ไกล้รุ่ง บุญเกิด” หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงโป แห่งบ้านคลองเสลา ต.แก่นมะกรูด อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ใช้เวลาศึกษาเรียนรู้และศึกษาการทำงานของ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่ แม้ในช่วงแรกจะมีคำถาม แต่เมื่อมีน้ำจากบ่อพวงสันเขา และประปาภูเขา ที่ มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ นำองค์ความรู้มาให้และยังพาชาวบ้านร่วมทำ จากพื้นที่ที่เคยขาดน้ำ ก็มีน้ำใช้ทุกฤดูกาล “ไกล้รุ่ง” บอกว่า “เรื่องน้ำ ถ้าไม่มีปิดทองฯ ไม่มี ไม่รู้ว่าเราจะไปเอาน้ำจากที่ไหน”
เมื่อมีน้ำก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพียงแค่ 2 ปี ไกล้รุ่ง ตัดสินใจเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่าง “ข้าวโพด” มาทำเกษตรผสมผสาน แม้จะเป็นเรื่องใหม่แต่หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงโปก็พร้อมจะเปิดรับ ไกล้รุ่ง ค่อย ๆ ศึกษาความรู้จากมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต เธอบอกว่า “การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ”
วันนี้ ไกล้รุ่ง บุญเกิด สามารถเปลี่ยนภูเขาที่เคยมีแต่ไร่ข้าวโพดให้กลายมาเป็นเกษตรผสมผสาน ไม้ยืนต้น และผลไม้หลากหลายชนิด สามารถสร้างรายได้ให้เธอตลอดทั้งปี ที่สำคัญกว่านั้น คือ คืนความสดชื่นให้ผืนป่า และเธอภูมิใจที่สามารถปลูกป่าให้กับลูกกับหลานได้ร่มเย็นต่อไปในอนาคต
ไกล้รุ่ง บุญเกิด บอกว่า “ถ้าเราปลูกต้นไม้ 1 ต้น ธรรมชาติมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ปลูกเลยมันก็จะเป็นภูเขาหัวโล้นไปเรื่อย ๆ หนูอยากปลูกป่าให้ลูกเรารู้ว่า เราปลูกป่า เรามีไม้ผลกินไม่ต้องไปขอใคร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้เราดูแล้ว เราจะเดินตามพ่อไปเรื่อย ๆ เดินก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ๆ ไม่ท้อค่ะ”