114 ผู้ป่วยตาต้อกระจก จ.น่าน มองเห็นชัด ปีติ “ปิดทองหลังพระ” รักษาฟรี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

  

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมพญาภูคา ชั้น 2 อาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน นายกฤษฎา บุญราช ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้เป็นประธานโครงการรณรงค์รักษาตาต้อกระจก ประจำปี 2568 เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี  โดยนายกฤษฎา ถวายความเคารพ และเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี   ทั้งนี้มีรศ.นพ.ดิเรก ผาติกุลศิลา หัวหน้าภาควิชาจักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ นางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายอำเภอปัว หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน คณะแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วม

นายกฤษฎากล่าวว่า มีความยินดี ที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานในพิธีเปิดตาผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาตาต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ประจำปี 2568 ในครั้งนี้ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ มีพันธกิจ ในการน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร ขยายผลไปสู่ชุมชน นำองค์ความรู้ ไปส่งเสริมการพัฒนา ตามแนวพระราชดำริอย่างเป็นระบบกว้างขวาง จนกระทั่งเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ ตลอดจนการสนองพระปฐมบรมราชโองการ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “การสืบสาน รักษา ต่อยอด” โดยภารกิจหลักของสถาบันจะประกอบด้วย 4 ประการ ได้แก่ 1. การบริหารจัดการด้านน้ำ 2. การบริหารจัดการด้านอาชีพ 3. การบริหารจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อม 4. การบริหารจัดการด้านสุขภาพพลานามัย

นายกฤษฎากล่าวว่า ทั้ง 4 ภารกิจนี้จะดำเนินการในพื้นที่การทำงาน 22 จังหวัดของสถาบัน ซึ่งจังหวัดน่านเป็น 1 ใน 22 จังหวัดการทำงานของสถาบัน และเป็นจังหวัดแรกที่สถาบันเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2552 โดยกิจกรรมวันนี้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการบริหารจัดการด้านสุขภาพพลานามัยเป็นการน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ซึ่งพระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ความว่า “การพัฒนาในแต่ละด้านไม่อาจแยกออกจากกันได้ ถ้าคนเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี ก็ต้องมีน้ำใช้ มีอาชีพ มีที่อยู่อาศัยที่พออยู่ได้ และมีสุขภาขพลานามัยที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน มิฉะนั้นก็จะไม่บรรลุผลสำเร็จอย่างแท้จริง” จากพระราชดำรัสดังกล่าว ทำให้สถาบันได้ตระหนักว่า พระองค์ท่านทรงเล็งเห็นว่าการพัฒนาชนบท โดยการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแหล่งน้ำ การส่งเสริมอาชีพ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมสุขภาพพลานามัยที่ดีให้กับราษฎร จำเป็นจะต้องดำเนินการไปพร้อมกัน โดยการที่ราษฎรมีสุขภาพพลานามัยที่ดีจะเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และการพัฒนาความเป็นอยู่ของตนเอง ครอบครัว และสังคมโดยรวมต่อไป ดังนั้น การบริหารจัดการด้านสุขภาพพลานามัยให้กับราษฎรจึงเป็นภารกิจสำคัญประการหนึ่งที่สถาบันมุ่งมั่นในการดำเนินงาน เพื่อเป็นการสนองแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระปณิธาน “การสืบสาน รักษา ต่อยอด” ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทั้งสองพระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย เพื่อสร้างหลักการแนวทาง การพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างพอเพียงและยั่งยืน

“สถาบันฯพร้อมด้วยมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ หน่วยงานทางการแพทย์ คณะแพทย์ พยาบาล และราษฎรจิตอาสา ได้นำหน่วยแพทย์ด้านทันตกรรม ตรวจรักษาดูแลราษฎรที่มีปัญหาด้านฟัน จักษุแพทย์ เพื่อทำการตรวจตาเพื่อรักษาตาต้อกระจก หรือการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นตามอบให้กับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้แว่นตา โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ และยังประสานงาน ดูแลในเรื่องการเดินทาง การพักรักษาตัว ตลอดจนอาหารให้กับผู้ป่วยและญาติอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะดำเนินการในพื้นที่การทำงาน 22 จังหวัดของสถาบันแล้ว สถาบันและภาคีเครือข่าย ก็จะพิจารณาถึงภาวะจำกัดในการเข้าสู่การรักษาพยาบาลของผู้ป่วย เช่น ครัวเรือนในพื้นที่ห่างไกลผู้ป่วยที่ส่งผลถึงการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพ ผู้สูงอายุที่เดินทางมาด้วยตนเองไม่สะดวกเป็นต้น ทั้งนี้เฉพาะการรักษาตาต้อกระจก สถาบันพร้อมด้วยภาคีเครือข่ายได้ออกหน่วยดำเนินการแล้ว 13 ครั้ง ทำการรักษาตาต้อกระจกให้กับราษฎรทั่วประเทศมากกว่า 1,300 คน”นายกฤษฎากล่าว

นายกฤษฎากล่าวว่า สำหรับโครงการรณรงค์รักษาตาต้อกระจกที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานครั้งที่ 14 เป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้พวกเราทุกคนได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทุ่มเททรงงานหนัก เคียงข้างพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการสร้างเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนคนไทยทุกคน ขออำนวยพร ให้ผู้ป่วยที่ทำการเปิดตาในวันนี้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีสายตาที่แจ่มชัด เป็นพลังพื้นฐานอันสำคัญในการประกอบอาชีพ สร้างฐานะความเป็นอยู่ที่ดี นำสู่ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ สืบไป

นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวว่า หลักการทำงานสำคัญประการหนึ่งที่ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และนายกฤษฎา บุญราช ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานของสถาบัน คือการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี ในการสร้างความเข็มแข็งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ให้กับราษฎร ควบคู่ไปกับการสร้างความเข็มแข็งทางด้านชีวิตความเป็นอยู่ และอาชีพ ด้วยแนวทางการพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ตามแนวพระราชดำริ โดยมูลนิธิและสถาบันได้ให้ความร่วมมือกับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย หน่วยแพทย์อาสามูลนิธิจักษุเชียงใหม่ และภาคีเครือข่าย จัดโครงการรณรงค์ผ่าตัดต้อกระจกน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ในพื้นที่จังหวัดยะลา นราธิวาส เชียงใหม่ น่าน พิจิตร พิษณุโลก และกาฬสินธุ์ ตั้งแต่ปี 2560 รวมที่ผ่านมา 13ครั้ง มีผู้เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกกว่า 1,300 ราย และในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 14เป็นการดำเนินโครงการรณรงค์ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ให้กับราษฎรที่มีปัญหาด้านสายตาอันเนื่องมาจากต้อกระจกในพื้นที่อ.ปัว และอำเภอใกล้เคียง จังหวัดน่าน โดยมีกระบวนการค้นหา และคัดกรองผู้มีปัญหาทางด้านสายตาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบผู้ป่วยต้อกระจก 111 ราย ต้อเนื้อ 3 ราย และได้มีการผ่าตัดให้กับผู้ป่วยในวันที่ 30-31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว ตลอดจนได้มีการดำเนินงานร่วมกับจังหวัดน่าน สาธารณสุขจังหวัดน่าน อำเภอปัว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน   ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และราษฎรจิตอาสา อำนวยความสะดวกในการเดินทาง และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รวมทั้งบริหารจัดการการเดินทาง ที่พัก อาคารของผู้ป่วย และญาติด้วย สำหรับในวันนี้เป็นพิธีเปิดตา มอบแว่นตา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วยด้วย


นางละไม กันทะเสน อายุ 65 ปี ผู้ป่วยตาต้อกระจกที่ได้รับการผ่าตัด กล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า เป็นพระคุณมาก ที่ได้รับการรักษาตา กราบขอบพระคุณในหลวง ซาบซึ้งใจ ดีใจมาก ได้เจอโครงการนี้เป็นบุญวาสนาของตัวเองมาก ปลาบปลื้มใจ ตอนนี้ตามองเห็นชัดเจน เหลืออีกข้างรอผ่าตัด เมื่อก่อนมองอะไรเป็นฝ้าๆไปหมด ไม่ชัด จะไปใช้สิทธิ์บัตรทองคิวก็ยาวมาก พอมาเจอโครงการนี้ดีใจมาก คุณหมอและพยาบาลชวนให้มาร่วม ลูกสาวดีใจมากที่ตาแม่มองเห็นชัด

นายคำ แสนซ้าย อายุ 74 ปีกล่าวว่า เป็นต้อกระจกมองไม่เห็นเกือบปี ใช้ชีวิตลำบากมาก เวลาจะไปไหน พื้นที่ต่ำๆ สูง ๆ มองไม่รู้ เห็นไม่ชัด สะดุด หกล้ม ตอนนี้มองเห็นแจ๋วดี  ชัดเจนมาก ปลื้มใจมาก อยากให้มีโครงการนี้อีก

ข่าวอื่นๆ

น่าน

น่าน

อุดรธานี

อุดรธานี

กาฬสินธุ์

กาฬสินธุ์

เพชรบุรี

เพชรบุรี

อุทัยธานี

อุทัยธานี

ขอนแก่น

ขอนแก่น

3 จังหวัด
ชายแดนใต้

3 จังหวัดชายแดนใต้

3 จังหวัด
ชายแดนเหนือ

3 จังหวัดชายแดนเหนือ