‘ปิดทองหลังพระ’ ยกทีมติดตามผล อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องจากพระราชดำริ อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พลิกชีวิตชาวบ้าน ยกระดับต้นแบบ “เทิดพระเกียรติ 100 ปี ชาตกาล ร.9 ”

 

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน  นายกฤษฎา บุญราช ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และคณะผู้บริหาร ประกอบด้วย นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองประธานกรรมการสถาบัน นายดุลยเดช วัชรสินธุ์ น.ส.กิตติมา บุนนาค ที่ปรึกษาสถาบัน และ นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบัน ลงพื้นที่โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องจากพระราชดำริ บ้านโคกล่าม-บ้านแสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาอาชีพชุมชน ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบสำคัญในการพลิกฟื้นปัญหา “อ่างมีน้ำแต่นาแล้ง” ยกระดับเป็นต้นแบบ โครงการเทิดพระเกียรติ ในวาระครบ 100 ปี ชาตกาล วันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี 2570 โดยมี นายวุฒิพงษ์ ใจยศ นายอำเภอหนองวัวซอ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้นำชุมชนเข้าร่วม และนำเสนอความก้าวหน้า “น้ำ–ป่า–เกษตร” แบบบูรณาการ

 

ต่อมาคณะผู้บริหารได้ลงพื้นที่เยี่ยมชม โรงเรือนปลูกผักปลอดภัยบ้านโคกล่าม–บ้านแสงอร่าม เป็นผลจากการมีระบบน้ำที่มั่นคง เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี ใช้ระบบตลาดนำการผลิต และจัดการผลผลิตผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทำให้แต่ละครัวเรือนเกิดรายได้มากขึ้น

นายกฤษฎากล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องจากพระราชดำริ สร้างไว้เมื่อปี 2546 ต่อมามีการร้องขอจากราษฎรว่า น้ำตื้นเขิน ไม่มีระบบคลองหรือท่อส่งน้ำไปยังพื้นที่การเกษตร ทั้งนาและสวน โดยในปี 2552 สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระได้เข้ามาพัฒนาเสริมคันกั้นน้ำ และ ทำทางน้ำล้นหรือสปิลเวย์ ลงสู่ห้วยธรรมชาติ เมื่อฤดูฝนน้ำมีปริมาณมากน้ำไหลผ่านสปิลเวย์ และได้ทำท่อระบายน้ำใต้สปิลเวย์ เพื่อใช้ในฤดูแล้ง ระบายสู่คลอง ซึ่งเดิมเป็นคลองแคบ ๆ ทางสถาบันฯได้ให้ชาวบ้านมาช่วยโดยให้ส่วนร่วมขุดลอกคลองใหม่ โดยสถาบันฯได้ทำความเข้าใจกับองค์กรปกครองท้องถิ่น วางท่อจากคลองธรรมชาติเข้าสู่เทือกสวนไร่นา และประสานนายอำเภอให้พูดคุยกำนันผู้ใหญ่บ้าน จัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อดูแลท่อส่งน้ำไม่ให้ชำรุด และคลองไม่ให้ตื้นเขิน และชาวบ้านตั้งกติกาการใช้น้ำร่วมกันเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำ ปรากฎว่าทุกครัวเรือนสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ปี 2552-2564 ทำให้มีการขยายพื้นที่เขตชลประทาน จาก 800 ไร่เป็น 1,850 ไร่

 

นายกฤษฎากล่าวอีกว่า ปี 2564 ชาวบ้านหนองวัวซอต้องการให้มีการส่งเสริมอาชีพ พบว่านอกฤดูทำนา สามารถปลูกผักในฤดูแล้งได้ สถาบันจึงขอความร่วมมือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรกณ์ และห้างสรรพสินค้าภายในจังหวัดอุดรธานี รวมทั้งบริษัท ซีพี ส่งเจ้าหน้าที่แนะนำการปลูกผัก เลือกชนิดผักที่จะปลูก เพื่อส่งขายห้างสรรพสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคได้ ทำให้ชาวบ้านนอกจากทำนาแล้ว มีอาชีพเสริมในฤดูแล้ง จากเดิมรายได้เฉลี่ยจาก 95,000 บาทต่อปี เป็น 300,000 บาทต่อปี ประการสำคัญทำให้เกิดความร่วมมือจากส่วนราชการ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน รวมทั้งชาวบ้าน ทำให้เกิดความรักสามัคคีเป็นไปตามแนวพระราชดำริ ที่ทุกคนต้องเสียสละและสามัคคี ทำให้การพัฒนามีความยั่งยืนไม่ฉาบฉวย โดยสถาบันฯทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมประสานให้ส่วนราชการ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มามีส่วนร่วม และให้ชาวบ้านร่วมกันดูแลรักษาน้ำ เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่แบบบูรณาการอย่างแท้จริง

 

นอกจากทำให้ราษฏรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการทำนา ปลูกผักในฤดูแล้งแล้ว สถาบันยังได้ต่อยอดโดยการทำโรงเรือนรวบรวม คัดแยก และห้องเย็น ในการเก็บรักษาผัก โดยการจัดเวรสมาชิกกลุ่มปลูกผัก ดูแลผักที่รวบรวมจากแปลงของเกษตรกรในพื้นที่ ส่งขายให้ภาคเอกชน อีกทั้งยังมีแนวคิดว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ชาวบ้านที่จะทำการเกษตรมีน้อยลง ขณะที่ที่ดินมีจำนวนมาก และมีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ จึงมีการส่งเสริมให้มีแปลงผักยกแคร่ มีโรงเรือนที่ให้ร่มเงา เพื่อผู้สูงอายุสามารถมาปลูกผักสร้างรายได้ และมีการแนวทางในการรวบรวมที่ดินราษฎร หรือที่สาธารณประโยชน์ที่ยังไม่มีการเพาะปลูก มาใช้ในโครงการเพาะปลูกร่วมกันระหว่างราษฏรและเอกชน โดยราษฏรเป็นผู้ปลูก เอกชนสนับสนุนปัจจัยการผลิต และการตลาด และบริหารจัดการรายได้ร่วมกันอย่างเป็นธรรม โดยจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกันกับทุกฝ่ายต่อไป

 

“สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องจากพระราชดำริ ได้ยกระดับเป็นต้นแบบ โครงการ 100 ปี ชาตกาล ในโอกาลเฉลิมพระเกียรติวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในปี 2570 เผยแพร่พระเกียรติคุณที่พระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยในการแนะนำการพัฒนาพื้นที่ จึงได้คัดเลือกหมู่บ้านเป็นต้นแบบตามหลักการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดำริ ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การส่งเสริมอาชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม โดยหลักการมีส่วนรวม และหลักการพัฒนา “ระเบิดจากข้างใน” ที่ชาวบ้านร่วมคิดการแก้ไขปัญหาของตนเอง แล้วริเริ่มลงมือทำเพื่อให้ปัญหานั้นลดน้อยลงหรือหมดไป โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันฯ เป็นผู้แนะนำ สนับสนุน ประสานงาน เช่น แนะนำ ให้ชาวบ้านปลูกผักที่ตลาดต้องการ แทนการปลูกโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของตลาด การพิจารณา ต้นทุน กำไร ทำให้ชาวบ้านเกิดการเรียนรู้การทำการเกษตในหลักการ“ตลาดนำการผลิต” ทำให้มีรายได้เพียงพอ และเป็นอาชีพยั่งยืน”นายกฤษฎากล่าว

#มูลนิธิปิดทองหลังพระ

ข่าวอื่นๆ

น่าน

น่าน

อุดรธานี

อุดรธานี

กาฬสินธุ์

กาฬสินธุ์

เพชรบุรี

เพชรบุรี

อุทัยธานี

อุทัยธานี

ขอนแก่น

ขอนแก่น

3 จังหวัด
ชายแดนใต้

3 จังหวัดชายแดนใต้

3 จังหวัด
ชายแดนเหนือ

3 จังหวัดชายแดนเหนือ